จากรุ่งโรจน์สู่รุ่งริ่งซีรีส์ The Witcher
The Witcher ซีรีส์แห่งความคาดหวังของชาวเกมเมอร์และนักอ่าน จากซีรีส์ดังสู่ซีรีส์(อาจจะ)พัง
เชื่อว่าถ้าเป็นเกมเมอร์หรือผู้ชื่นชอบการดูซีรีส์ตัวยง หรืออย่างน้อยเป็นแฟนหนังสือนิยายสายแฟนตาซีตะวันตก ก็คงจะต้องได้ยินชื่อซีรีส์ The Witcher สักครั้งหนึ่ง เพราะมันเป็นเรื่องราวสุดโด่งดังในทุกๆ แขนงมีแฟนๆ ทุกวงการ หนังสือดัง เกมดัง และซีรีส์ดัง แต่มีอย่างนึงที่น่าเสียดายในวันนี้คือซีรีส์ที่เคยรุ่งโรจน์มันส่อแววจะรุ่งริ่งซะแล้วครับ ในซีซันที่3 นักแสดงหลักชื่อดังอย่าง Henry Cavill ขอถอนตัวไป ส่วนคะแนนรีวิวในเว็บรีวิวฝั่งคนดูก็จัดว่าเละมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมเรื่องราวจากนิยายเรื่องนี้ถึงดัง ระหว่างทางเป็นยังไง และสุดท้ายทำไม มันถึงกลายเป็นหนึ่งในซีรีย์สุดล้มเหลวที่สร้างความผิดหวังให้กับชาวเกมและเหล่านักอ่าน วันนี้ผมจะมาค่อยๆ เล่ากันไปครับ
The Witcher เป็นผลงานของนักเขียนนิยายชื่อดังชาวโปแลนด์อย่าง Andrzej Sapkowski ที่ออกเล่มแรกในปี1993 ปัจจุบันซีรีส์นี้มีนิยายตีพิมพ์ทั้งหมด8เล่ม และถูกแปลไปแล้วมากกว่า30ภาษา แน่นอนว่ารวมถึงไทยด้วย เป็นเรื่องราวว่าด้วยการเดินทางปราบปีศาจของวิชเชอร์ที่มีตัวเอกหลักคือวิชเชอร์นามเกรรอล ออฟ ลิเวียร์ ไปทั่วทั้งดินแดน ทำให้จักรวาลของเรื่องนี้แข็งแกร่งและโด่งดังมากในโปแลนด์ นักเขียนได้รางวัลมากมาย เรื่องราวที่ดังขนาดนี้จะไม่มีสื่อไหนจับตามองเลยได้ยังไงจริงมั้ยครับ อันที่จริงจักรวาลวิชเช่อนั้นได้ถูกนำไปสร้างเป็นเกมและซีรีส์มาแล้วก่อนที่จะมาเจอกับค่ายเกมเปลี่ยนชีวิตอย่าง CD Projekt แต่ว่ามันแป้กครับ เจ๊งไปในที่สุดและเรื่องนี้ก็น่าจะสร้างแผลใจให้กับนักเขียนท่านนี้พอสมควร เพราะมันจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดดราม่าเรื่องลิขสิทธิ์ของผลงานขึ้นในอนาคตด้วย
แล้วตอนที่นิยายกำลังดังเปรี้ยงพลุแตกอยู่ CD Projekt อยู่ไหน คำตอบคือพวกเขาเพิ่งจะตั้งไข่ครับ บริษัทเพิ่งตั้งตอนปี1994เท่านั้นเองมันเริ่มต้นด้วยคน2คน Marcin Iwiński (มาร์ซิน อิซินสกี้) และ Michał Kiciński (มิคาล คิสินสกี้) ก่อนหน้านั้นผู้บริหารใหญ่2ท่านนี้ยังปั๊มแผ่นผีขายกันเป็นล่ำเป็นสันอยู่เลย เรียกว่าเป็นค่ายที่เริ่มต้นมาแบบที่จะเอามาอวดก็คงไม่สวยเท่าไหร่ แต่คนมีอุดมการณ์ก็คงไม่อยากไปต่อในงานสายนี้ พวกเขาไม่จมอยู่กับการขายแบบนั้นตลอดไปแต่เลือกที่จะหันมาทำธุรกิจแบบจริงๆ จังๆ มากกว่า นั่นคือการนำเข้าและจัดจำหน่ายเกมเพื่อทำให้ชาวโปแลนด์มีเกมเล่นมากขึ้น ความซวยของพวกเขาก็คือธุรกิจที่พวกเขาเคยทำนั่นแหละเพราะธุรกิจเกมเถื่อนมันฮอตมาก ฮอตจนคนที่เคยขายเกมเถื่อนขายดีจนมาตั้งบริษัทสู้กับคนขายเกมเถื่อนอีกที ปัญหาก็คือจะขายยังไงให้สู้ของเถื่อนได้ แต่ต้องบอกว่าสวรรค์เป็นใจ ฟ้าส่ง CD Projekt มาเกิดแล้ว ยังส่งเกมดังมาให้พวกเขาจัดจำหน่ายด้วย เกมนั้นก็คือ Baldur’s Gate จากไบโอแวร์ที่ตอนนั้นยังไม่ใช่ของEAนะ Baldur’s Gateเป็นสุดยอดเกมRPGอมตะตลอดกาล ที่เหมือนผมเพิ่งทำคลิปพูดถึงภาค3ไปไม่นานนี้เอง ซีรีส์ Baldur’s Gate นี่แหละครับที่ทำให้ CD Projekt ได้ลืมตาอ้าปากอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ได้แค่ซื้อมาขายง่ายๆ นะ แต่ยังยกระดับมันด้วยการเอามาแปล เอามาพากย์เป็นภาษาโปแลนด์ ทำผลิตภัณฑ์อย่างดี และผลตอบรับของมันก็คือขายได้ในระดับที่ถือว่าดีมากๆ ในสมัยนั้น จนได้รับความไว้วางใจให้ทำภาคต่อ ไม่ใช่แค่จัดจำหน่ายละ ให้จัดทำเรื่องแปลเรื่องพอร์ทอะไรไปด้วยเลย แต่โปรเจคนี้เกิดหลายเรื่องขึ้นโดยเฉพาะเรื่องเงินทุน ทำให้พวกเขาไม่ได้ทำต่อ
ทีนี้ CD Projekt ก็เคว้งสิครับ แต่แทนที่พวกเขาจะยอมแพ้แล้วกลับไปหาเกมอื่นมาทำขายแทน ไม่อะ ที่นี่เราไม่ทำแบบนั้น ทำเกมเองแม่งเลยละกัน และเกมที่เขาเลือกทำ ก็เลือกขอซื้อลิขสิทธิ์นิยายซีรีส์ The Witcher จาก Andrzej Sapkowski ซึ่งนักเขียนก็เลือกขายลิขสิทธิ์แบบขาดให้ไปเลย เพราะเขาคิดว่ามันก็คงไม่รุ่งเหมือนที่ผ่านๆ มา แน่นอนเขาคิด…ถูกครับ แค่ในตอนแรกอะนะ มันไม่รุ่งจริงๆ เพราะว่าทาง CD Projekt ทำเกมไม่เป็นเลย ไม่รู้อะไรทั้งสิ้น ถึงแม้จะมีไกด์จากโปรเจคที่เคยทำ แต่พอเอามาทำเดโมแล้วมันก็กลายเป็นดูเหมือนเกมห่วยๆ ที่ไม่น่าจะไปรอด ไม่มีนายทุนคนไหนสนใจ แต่หลังจากล้มลุกคลุกคลานมารวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากไบโอแวร์และหลายๆ ฝ่าย CD Projekt ก็เข็นวิชเช่อภาคแรกออกมาสำเร็จจนได้ในปี2007 ตัวเกมเป็นเกมRPG โดยเรื่องราวของตัวเกม จะเป็นเรื่องราวหลังจากจบภาคหลัก หรือเล่ม7ที่ชื่อ The Lady of the Lake ซึ่งเป็นเรื่องที่ทาง CD Projekt เขียนบทขึ้นมาเองทั้งสิ้นโดยสร้างโลกอิงจากโลกของนิยายและมีจุดเด่นคือมีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งตัวเกมถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
หลังความสำเร็จ CD Projekt ไม่รอช้า พัฒนาภาค2ต่อเลย ไปพร้อมๆ กับการพัฒนาเอนจินที่จะสร้างภาค3ต่อด้วย เรียกว่า2ภาคต่อมามันแทบจะเกิดมาพร้อมกัน แม้ว่าหลังจากนั้นก็ยังคงเจออุปสรรคมากมาย แต่ภาค2ก็คลอดออกมาได้ และกลายเป็นเกมที่สร้างชื่อให้กับ CD Projekt อย่างสูงสุดในขณะนั้น ส่งให้ตลาดเกมของโปแลนด์กลายเป็นที่จับตามองของชาวเกมเมอร์ทั่วโลก เป็นความภาคภูมิใจของคนในชาติ ถ้าจะมีอะไรที่ควรจะเรียกว่าซอฟต์พาวเวอร์ ก็คงต้องเป็น The Witcher นี่แหละ และมันทำให้ภาค3ได้เกิดมาอย่างมั่นคง ซึ่งเอาจริงๆ ตอนแรกที่ออกมาก็แอบมีบั๊กกับปัญหามากมายมหาศาล เพราะปัญหาเดิม CD Projekt ก็ไม่เคยทำเกมโอเพ่นเวิร์ลเหมือนกัน ชีวิตคือการลองสิ่งใหม่ๆ ของจริง สุดท้ายแล้วความสำเร็จของภาค3 คงไม่ต้องบอกเล่ามาก มันกวาดรางวัลมามากมาย กลายเป็นเกมในตำนานของใครหลายคน เป็นเกมที่ในชีวิตนี้ควรลองหามาเล่นสักครั้ง เพราะดีทั้งเควสหลัก เควสรอง มินิเกม องค์ประกอบหลายๆ อย่าง แถมส่งให้นิยายที่ดังอยู่แล้วไฮป์ไปถึงขีดสุด CD Projekt กลายเป็นค่ายที่ถูกคนทั่วโลกจับตามอง ชื่นชมในความเก่งกาจและเทคแคร์คนเล่น ที่สำคัญเนื้อหอมน่าลงทุนสุดๆ ยิ่งหลังจากนั้นมีการเปิดโปรเจค cyberpunk2077 ออกมา ว้าว สุดยอดแห่งความคาดหวัง แต่ผลเป็นยังไงผมก็คงบอกได้แค่ว่า เหมือนชีวิตคนที่มีขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุดได้เพราะตัวเองล้วนๆ CD Projekt คงจะจดจำมันไปตลอดชีวิต หรือลองไปฟังให้ละเอียดขึ้นในคลิปของผมที่ชื่อว่า cyberpunk กลับมายังไงก็ได้ครับ แล้วก็เคยมีดราม่ากับคนเขียนด้วยเรื่องค่าลิขสิทธิ์ คือคนเขียนแกขายขาดใช่มั้ยครับเพราะคิดว่ามันคงไม่ดังหรอก แต่ปรากฏว่ามันดังขนาดใช้คำว่าดังมาอธิบายยังน้อยไป คนเขียนก็เลยอยากได้ส่วนแบ่งเพิ่มจนเกือบจะมีการฟ้องร้องกันเกิดขึ้น แต่ก็ยังจบลงด้วยดี เคลียร์กันได้
ทีนี้มาพูดถึงซีรีส์ The Witcher บ้าง พอเกมประสบความสำเร็จไปแบบไม่ลืมหูลืมตา กลายเป็นความภาคภูมิใจของชาวโปแลนด์และกลายเป็นเกมในตำนานที่เกมเมอร์รู้จักทั่วโลก หลังจากนั้นไม่กี่ปีก็ได้มีการประกาศสร้างซีรีส์ The witcher ขึ้นสร้างโดยเน็ตฟลิกซ์ ซึ่งเป็นการนำบทของนิยายมากสร้างเป็นซีรีส์ ผมยังจำความรู้สึกในตอนนั้นได้ดีในฐานะแฟนเกมวิชเช่อเหมือนกัน แม่งโคตรไฮป์จนตั้งความหวังกับซีรีส์นี้เอาไว้มากเลย เป็นซีรีส์ที่แบกความหวังของคนหลายกลุ่มมากๆ ทั้งแฟนนิยายและแฟนเกมแล้วก็สร้างความสนใจให้คนที่ไม่เคยสนใจเรื่องนี้มาก่อนด้วย ที่เป็นแบบนั้นเพราะไม่ใช่แค่ตัวเนื้อเรื่องและเซ็ทติ้งของเรื่องที่น่าสนใจ แต่ยังได้ดาราระดับA list ในฮอลลีวู้ดอย่าง Henry Cavill มารับบทเป็น แกรัล ออฟ ลิเวียร์อีก ถ้าพูดถึงความดังและผลงานในตอนนั้นของเขา มันมากมายมหาศาลจริงๆ แต่บทที่โดดเด่นที่สุดก็คงหนีไม่พ้นซูเปอร์แมนในหนังหลายๆ เรื่องในช่วงนั้น ที่โดยรวมทำรายได้ไปอย่างมหาศาล Henry Cavill กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น จนต้องบอกว่าดาราระดับนี้ยากมากที่จะมารับเล่นซีรีส์สเกลนี้ ทีมสร้างโคตรโชคดี ที่ต้องบอกว่าโชคดีไม่ใช่แค่เพราะว่า Henry Cavill เป็นดาราดัง แต่เขาเสนอตัวมารับบทนี้ด้วยตัวเองเนื่องจากเจ้าตัวเป็นทั้งแฟนนิยายและแฟนเกมของซีรีส์The witcherแบบแฟนพันธุ์แท้ตามหมดทุกอย่าง รักซีรีส์นี้มากๆ เขาต้องการที่จะรับบทเป็นแกรอลต่อให้ต้องลดคอสของตัวเองมาเพื่อเล่นบทนี้ก็ยอม เขาเชื่อว่าตัวเองจะถ่ายทอดความเป็นแกรัลออกมาได้ดีที่สุดแน่นอน โห มันเพอร์เฟคอะ นิยายก็ดัง เกมก็ดัง นักแสดงนำยังดังและรักบทมาก มันจะไม่คาดหวังได้ไงและแน่นอนนักเขียนก็ยังคงขายสิทธิ์ขาดให้เหมือนเดิมคือปล่อยฟรีเลยอยากทำไรก็ทำ ไม่ได้มีส่วนร่วมมากคล้ายๆ เกมอะ เห็นว่าทางทีมงานก็วางแผนกันไว้อย่างดีด้วยว่าจะมีถึง7ซีซัน
ซีรีส์เรื่องนี้ซีซันแรกประสบความสำเร็จครับ ได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีเลย ฮิตไปทั่วบ้านทั่วเมือง สร้างฐานแฟนคลับกลุ่มใหม่ให้หันมาสนใจนิยายและเล่นเกมเพิ่มได้อีกมหาศาล แต่มันก็คงต้องบอกว่ามันมีกลิ่นว่าเอ๊ะยังไงๆ อยู่นะ ตั้งแต่ซีซีน2เหรอ ไม่ครับ ตั้งแต่ซีซีนแรกเลย ที่ก่อนเรื่องจะออกด้วยซ้ำมันมีดราม่าออกมานิดนึงว่าอะไรเล็กๆ น้อยๆ ในเรื่องที่เป็นภาพหลุดของกองถ่ายมันดูไม่ค่อยจะตรงตามต้นฉบับสักเท่าไหร่ หรือไม่มันก็ดูตกยุคจนเกินไป แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นอะไรที่คนดูพอจะรับและมองข้ามไปได้ มันเป็นเรื่องราวที่มีแววจะประสบความสำเร็จอยู่แล้วและก็ประสบความสำเร็จตามนั้นครับ แต่ในซีซันต่อมาและต่อๆ มา เราก็เริ่มเห็นลายความแปลกประหลาดของซีรีส์มากยิ่งขึ้น ที่เป็นอย่างนั้นเนี่ย ต้องเท้าความก่อนว่าตัวบทของ The Witcher มันเป็นนิยายที่เก่ามากๆ แล้วเขียนตั้งแต่ยุค90 ถ้าให้เปรียบกับนิยายไทยดังๆ ก็คงเหมือนเพชรพระอุมา คือดีมั้ย ดี เขียนดีบทสนุก แต่จะมีบางอย่าง เช่นมุก หรือทัศนคติ หรือบทที่ไม่เข้ากับบริบทในปัจจุบันคือเราอ่านแล้วมันจะเหม่งๆ รู้เลยว่านี่คืองานเขียนคนละยุคกับเรา งานเขียนของคนยุคนี้ ตัวละครจะมีแนวคิดที่แตกต่างกับเราThe witcher ก็แบบนั้น พวกซีรีส์จากบทเก่าๆ ก็เลยต้องมีการปรับปรุงบทบ้าง แต่ประเด็นคือมันไม่บ้างนี่สิ ผู้กำกับแกเขียนบทใหม่ซะจน The witcher กลายเป็นเดินออกจากเส้นเรื่องเดิมไปเลย หลายๆ อย่างในเรื่องเปลี่ยนแปลงไปแบบกู่ไม่กลับ คือมันไม่ใช่ว่าซีรีส์มันเปลี่ยนบทจากบทดั้งเดิมไม่ได้อะไรแบบนี้หรอกนะครับ ถึงส่วนใหญ่มันจะไม่ค่อยเวิร์คแต่ที่เปลี่ยนแล้วดีมันก็มีให้เห็นเยอะ ปัญหาของเรื่องนี้คือเปลี่ยนแล้วมันไม่สนุกเลยยย มันกลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ ตัวละครบางตัวที่สำคัญถูกตัดบทหายไป หลายๆ ฉากไม่มี ถูกเปลี่ยน บางคนก็บอกว่าบทมันwokeมากๆ จนประหลาด มันไม่ใช่ The witcher ที่คนเล่นเกมคนอ่านนิยายคุ้นเคยอีกต่อไป ถ้าจะบอกว่าตัวเกมก็ไม่ได้เขียนตามนิยายเหมือนกันนี่ เกมมันก็แต่งขึ้นมาเองทั้งหมดแถมคนเขียนก็ไม่มีเอี่ยวด้วยทำไมคนยังชอบล่ะ ผมคงต้องบอกว่าเนื้อเรื่องของเกมเป็นเรื่องหลังจากนิยาย เป็นอาฟเตอร์สตอรี่จะแต่งอะไรออกมาก็ไม่กระทบเส้นเรื่องหลัก แล้วด้วยความเป็นเกมที่มีทางเลือก มีโลกให้สำรวจ ดังนั้นมันจะมีอิสระมากกว่า คนมีอารมณ์ร่วมได้สัมผัสด้วยตัวเอง ต่างจากซีรีส์ที่เราดูได้อย่างเดียว แต่เอาจริงๆ ที่เรามองว่าบทเกมมันดี ถามว่านักเขียนคุณ Andrzej Sapkowski เขาชอบมั้ย ต้องบอกเลยว่าเขาไม่ได้ชอบและไม่ได้มองว่ามันดีเหมือนที่เรามองด้วย เรียกว่ากลางๆ พอรับได้ดีกว่า
ส่วนในบทของซีรีส์ อันนี้เหมือนผู้กำกับทำตามใจล้วนๆ เพราะเคยมีข่าวออกมาว่า ตัวนักแสดงนำอย่าง Henry Cavill ซึ่งเขาเป็นแฟนนิยายเรื่องนี้เหมือนกัน เขาก็ไม่ชอบบท ไม่ใช่แค่นักแสดงนำที่ไม่ชอบนักเขียนเองก็ไม่ชอบ เคยมีข่าวว่านักเขียนไปเยี่ยมกองถ่ายซีรีส์แล้วแนะนำเรื่องที่เขามองว่ามันไม่ตรงกับต้นฉบับสักเท่าไหร่ให้กับกองถ่าย แต่กลับกลายเป็นว่าทางกองถ่ายและผู้กำกับไม่ได้รับฟังหรือสนใจคำแนะนำนั้นเลย ปล่อยผ่านจางไปไม่ได้เห็นค่าทาง Andrzej Sapkowski ก็โนสนโนแคร์ครับ ตามใจเลยก็เขาขายขาดไปแล้ว จะปู้ยี่ปู้ยำยังไงก็แล้วแต่ เขาเขียนนิยายของตัวเองให้ดีก็พอ แต่กับนักแสดงไม่เป็นแบบนั้นครับเพราะว่ายังต้องอยู่กับเรื่องนี้ไปอีกนาน และ Henry Cavill ก็เลือกที่จะไม่อยู่กับมันต่อ เขาตัดสินใจออกจากบทกลางทาง เปลี่ยนนักแสดงไปเป็นLiam Hemsworth แทน ซึ่งเลียมก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะเขาเองก็มีผลงานการแสดงซีรีส์มาเยอะเช่นกัน แต่ก็กลับกลายเป็นว่าถึง Henry Cavill จะออกไปแล้วแต่ผู้กำกับก็ยังคงยึด แนวทางเดิมคือทำตามที่ตัวเองคิดว่าดีที่สุด แต่ไม่แน่ว่าพอเห็นผลตอบรับแล้ว ซึ่งกระแสมันก็ดิ่งลงทุกวันก็อาจจะเริ่มคิดได้และกลับมาทำแนวทางเดิมอย่างที่เคยทำก็ได้ แต่ถึงยังไงมันก็ออกจะสายไปสักหน่อยแล้ว
ถ้าให้เปรียบเทียบทีมสร้างซีรีส์เหมือนเชฟทำอาหาร ผมว่าเหมือนเขามีวัตถุดิบทำอาหารชั้นเลิศ แถมมีสูตรอาหารที่ดีด้วย แต่ดันคิดว่าสูตรมันเก่าเกินเลยเลือกปรุงตามใจตัวเองถึงขนาดที่เจ้าของสูตรก็ไม่ชอบ วัตถุดิบยังรับไม่ได้กระโดดออกจากหม้อไปเอง ผมว่าคนดูเขาอาจจะไม่ได้ต้องการงานที่ตรงต้นฉบับเป๊ะๆหรอก แต่อย่างน้อยมันต้องเคารพต้นฉบับแล้วก็ทำให้สนุกอะ ยิ่งคุณบอกสร้างจากนิยาย มันก็ควรมีเส้นเรื่องที่ไม่เละเทะแบบนี้ เอาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าในอนาคตซีรีส์นี้จะเป็นยังไงต่อไป เพราะส่วนตัวผมเองก็หยุดดูมาพักใหญ่ๆ ละเพราะว่ามันน่าเบื่อตั้งแต่ซีซันที่2 แต่ยังตามข่าวอยู่ห่างๆ อยากจะเห็นเหมือนกันว่าเรื่องราวของซีรีส์ที่สุดแล้วมันจะดำเนินไปแบบไหนหรือว่าไปได้ไกลแค่ไหน ได้ยินว่าลดจาก7ซีซันมาเหลือแค่5แล้วด้วย ถึงแม้ผมจะบอกว่าทรงมันดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังไม่ได้หมายความว่ามันจะเจ๊ง ไม่แน่ว่าเวลาที่เหลืออาจจะทำออกมาได้น่าประทับใจก็ได้มองโลกในแง่ดีไว้ก่อน แล้วคุณล่ะครับคิดยังไงกับเรื่องนี้ หรือว่าใครที่ไม่เคยเล่นเกมไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนเลย แล้วมาดูลองเล่าให้ฟังหน่อยก็ได้ว่ามันให้ความรู้สึกที่ต่างกันมั้ย สุดท้ายสิ่งผมมองว่าดีและน่าจดจำที่สุดของซีรีส์วิชเช่อทุกซีซัน ก็คงจะเป็นสิ่งนี้แหละครับ
– เริ่มเละ
– บทตกยุค เหมือนเพชรพระอุมา คือดีมั้ย ดี แต่จะมีบางอย่างที่ไม่เข้ากับปัจจุบัน ผกกทำตามใจนักเขียนนักแสดงว่าไงไม่สน กุทำได้ดีกว่า
– นักแสดงเลยออกกลางคัน
– เหมือนมีวัตถุดิบที่ดี มีสูตรอาหารที่ดี แต่ดันเลือกปรุงตามใจตัวเอง จนสุดท้ายวัตถุดิบบอกไม่อยู่ละ ไปหาวัตถุดิบใหม่เอาละกัน
– เดาทิศทางในอนาคต
– สุดท้ายไม่มีอะไรจะพูดนอกจาก *เปิดเพลงวิชเชอร์* 55555